Learning
Sentences In English
เมื่อกล่าวถึงเรื่อง Sentence
ในภาษาอังกฤษแล้ว
ก็อาจจะเป็นที่เข้าใจได้ทันที(สำหรับผู้ที่เคยผ่านหูผ่านตามา) ว่า คำว่า “Sentence”
นี้ ก็คือประโยคในภาษาไทยนั่นเอง
ประโยคในภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้น มีลักษณะใกล้เคียงกันมาก
ทั้งรูปแบบโครงสร้างประโยค
การเรียงประโยค
จึงอาจทำให้ผู้ที่เข้าใจภาษาไทย
สามารถเรียนรู้และเข้าใจภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะได้ทำการจำแนกแบ่งซอย
Sentence(ประโยค)
ขอนำคำนิยามความหมายที่ปรากฏอยู่ในพจนานุกรมหลายเล่มมาประมวลเอาไว้พอสังเขปดังนี้
“ Sentence is group
of words that
you put together
to tell an idea
or ask a
question.”
(Oxford Basic
English Dictionary,1981:247)
“ Sentence is a word
or a group
of syntactically related
words that states, asks, commands, or exclaims
something conventional unit
of connected speech
or writing, usually containing
a subject and
a predicate: in writing, a
sentence begins with
a capital letter
and concludes with
an end of
mark (period, question mark, etc.),
and concludes with
any various final
pitches and a
terminal juncture.”
(Webster’s New World
Dictionary,1988:1223)
“
Sentence is a
group of words, which
they are written
down, begin with a
capital letter and
end with a
full stop, question mark, or
exclamation mark. Most of
sentence contain a
subject and a
verb.” ( Collins
Cobuild English Dictionary,1995:287)
จากคำนิยามความหมายของ Sentence (ประโยค) ข้างต้นนี้ ทำให้สามารถสรุปได้ว่า
Sentence(ประโยค)
หมายถึง กลุ่มคำที่ประกอบด้วยภาคประธาน และภาคขยายประธาน
ที่เรียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ
โดยแสดงข้อความที่มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง
Sentence (ประโยค) โดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย ภาคประธาน (Subject) และภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) ตัวอย่างเช่น
I am a
monk.
ผมเป็นพระ
ภาคประธาน
(Subject) คือ I
ภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) คือ am a monk
Mahachulalongkornrajavidyalaya university
is the Buddhist
university.
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนา
ภาคประธาน (Subject) คือ Mahachulalongkornrajavidyalaya university
ภาคขยายประธาน หรือภาคแสดง (predicate) คือ is
the Buddhist university
Sentence (ประโยค)
ในภาษาอังกฤษ ท่านได้แบ่งออกเป็น 4
ประเภท คือ
1. Simple Sentence ( ประโยคความเดียว
หรือเอกัตถประโยค)
2. Compound Sentence ( ประโยคความรวม
หรืออเนกัตถประโยค)
3. Complex Sentence ( ประโยคความซ้อน
หรือสังกรประโยค)
4. Compound –
Complex Sentence ( ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค)
ต่อไปก็จะได้กล่าวถึงความหมายและรายละเอียด กฎเกณฑ์ของ
Sentence (ประโยค)
แต่ละข้อ
ที่ได้กล่าวมาแล้ว
ตามลำดับดังต่อไปนี้
1. Simple Sentence แปลว่า ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค หมายถึง
ข้อความที่พูด
ออกไปแล้ว มีใจความเดียว
ไม่กำกวม
สามารถเข้าใจเป็นอย่างเดียวกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง เป็นประโยคที่มีประธานตัวเดียว และกิริ ยาตัวเดียว
ตัวอย่างเช่น
-Venerable
Tawan is my
friend.
ท่านตะวันเป็นเพื่อนของผม
- Buddhism is one
of the great
world religions.
พระพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในบรรดาศาสนาโลกที่ยิ่งใหญ่
หมายเหตุ :
พึงสังเกตประโยคแต่ละประโยคข้างต้นเหล่านี้ จะเห็นว่าแต่ละประโยคจะมีประธานตัวเดียว
และกิริยาตัวเดียว จึงทำให้สามารถทราบได้ว่าเป็น Simple
Sentence (ประโยคความเดียว หรือเอกัตถประโยค) ตามความหมาย
และกฎเกณฑ์ข้างต้น
นอกจากนั้นแล้ว Simple
Sentence (ประโยคความเดียว
หรือเอกัตถประโยค) ยังสามารถแบ่งเป็น
ประโยคย่อยๆ ได้อีก 6 รูปแบบ ดังนี้คือ
1. ประโยคบอกเล่า ( Affirmative
Sentence)
2. ประโยคปฏิเสธ (
Negative Sentence )
3. ประโยคคำถาม ( Interrogative Sentence )
4. ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ
(Negative
Question Sentence)
5. ประโยคข้อร้องหรือบังคับ
( Imperative Sentence)
6. ประโยคอุทาน (Exclamation Sentence)
ก่อนอื่นก็ขอเริ่มต้นอธิบายเป็นลำดับไปดังนี้
1. ประโยคบอกเล่า
( Affirmative
Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความบอกเล่าตามธรรมดา
ไม่อยู่ในรูปคำถาม
ปฏิเสธ อุทาน หรือ ขอร้องและบังคับ
ตัวอย่างเช่น
- I am
studying at a
university in Nakornratchasima province.
ผมกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา
- Wat Isaan
is located in
Nakornratchasima city.
วัดอิสานตั้งอยู่ในตัวเมืองนครราชสีมา
2. ประโยคปฏิเสธ (
Negative Sentence ) ได้แก่
ประโยคที่มีเนื้อความปฏิเสธ
ตัวอย่างเช่น
- The Pali
language is not
difficult for monks.
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ไม่ยากสำหรับพระ
- Thailand is
not the largest
country in the
world.
ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก
3. ประโยคคำถาม ( Interrogative Sentence ) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความเป็นคำถาม เพื่อ
ต้องการทราบคำตอบ
ตัวอย่างเช่น
-
Are you a monk
?
ท่านเป็นพระหรือ ?
-
What is
Buddhism?
พระพุทธศาสนาคืออะไร?
4. ประโยคคำถามเชิงปฏิเสธ
(Negative
Question Sentence)
ได้แก่ประโยคที่มีเนื้อความเชิงปฏิเสธ
ตัวอย่างเช่น
- Does not
she believe in
you?
หล่อนไม่เชื่อคุณหรือ?
- Why
do not you
do that again?
ทำไมคุณถึงไม่ทำมันอีกครั้ง?
5. ประโยคข้อร้องหรือบังคับ
( Imperative Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความขอร้องหรือบังคับให้กระทำ
ตัวอย่างเช่น
5.1 ประโยคที่มีเนื้อความขอร้อง เช่น
- I beg
your pardon.
ผมขอโทษ
- You should
follow my words.
ท่านควรทำตามคำพูดของผม
5.2 ประโยคที่มีเนื้อความบังคับ เช่น
- Do as
my suggestion.
จงทำตามคำแนะนำของผม
- Open the
door now.
จงเปิดประตูเดี๋ยวนี้
6. ประโยคอุทาน (Exclamation Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความเปล่ง
อุทานขึ้น
มีทั้ง ตกใจ ปะหลาดใจ
เศร้าใจ ดีใจ เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น
How nice
she is !
หล่อนช่างดูดีจริงๆ !
What the
hottest month it is!
มันช่างเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดอะไรเช่นนี้ !
2. Compound Sentence แปลว่า ประโยคความรวมหรืออเนกัตถประโยค หมายถึง
ประโยคที่มีข้อความ 2 ข้อความมารวมกัน พูดง่าย ๆ คือ
ประโยคความเดียว 2 ประโยคมารวมกัน แล้วเชื่อมด้วย co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) ได้แก่ and, or, but, so, still, yet,
etc. และ conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม)
ได้แก่ however, meanwhile,
therefore, otherwise, thus, etc.
2.1 Compound
Sentence ( ประโยคความรวม หรืออเนกัตถประโยค)
ที่เชื่อมด้วย co-ordinate conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) ได้แก่ and, or, but, so, still, yet, etc.
ตัวอย่างเช่น
-
Venerable Tawan can
speak English and he
can speak Loa.
ท่านตะวันสามารถพูดภาษาอังกฤษและสามารถพูดภาษาลาวได้
- Phramaha Charoen
does not study
Loa yet he
can speak it.
พระมหาเจริญไม่ได้ศึกษาภาษาลาวถึงกระนั้นเขาก็สามารถพูดภาษาลาวได้
2.2
Compound Sentence (ประโยคความรวม
หรืออเนกัตถประโยค) ที่เชื่อมด้วย
conjunctive adverb (คำวิเศษณ์เชื่อม)
ได้แก่ however, meanwhile,
therefore, otherwise, thus, hence, nevertheless, etc.
ตัวอย่างเช่น
- Venerable
Prakorng was ill, thus he
went to see
a doctor at
a hospital.
ท่านประคองป่วยดังนั้นเขาจึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
- Jess
comes to see me
at a
temple, meanwhile I teach
her Buddhism.
เจสมาหาผมที่วัดระหว่างนั้นผมก็สอนพระพุทธศาสนาให้เธอด้วย
หมายเหตุ : จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า Compound Sentence
เกิดมาจาก Simple Sentence
2 ประโยคมารวมกัน แล้วคั่นกลางประโยคทั้งสองด้วย co-ordinate
conjunction (ตัวเชื่อมประสาน) และ conjunctive adverb
(คำวิเศษณ์เชื่อม)
3. Complex Sentence แปลว่าประโยคความซ้อน
หรือสังกรประโยค หมายถึง ประโยคที่มี
เนื้อความซับซ้อน ถ้าขาดเนื้อความใดเนื้อความหนึ่งแล้ว
ทำให้เนื้อความไม่สมบูรณ์
จะใช้ตัวเชื่อมที่เรียกว่า sub - ordinate conjunction (คำเชื่อมแฝง)
ได้แก่ if, before, because, as
if, since, etc. และ relative pronoun(สัมพันธ์สรรพนาม)
ได้แก่ who, what, where, that,
which, etc.
3.1 Complex
Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค)
ที่เชื่อมด้วย sub - ordinate
conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่ if, before, because, as if, since,
etc.
ตัวอย่างเช่น
- Before
I go
out, I would like
to leave my
messages.
ก่อนที่ผมไป
ผมอยากจะทิ้งข้อความของผมเอาไว้
-
Venerable Somporn talks as if
he was able
to speak English.
ท่านสมพรพูดราวกับว่าเขาสามารถพูดภาษาอังกฤษได้
3.2 Complex
Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค)
ที่เชื่อมด้วย relative pronoun (สัมพันธ์สรรพนาม)
ได้แก่ who, what, where, that,
which, etc.
ตัวอย่างเช่น
The monk who is
standing over there
is my friend.
พระผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่นั่นคือเพื่อนของผม
The monk whose
book was stolen
is student.
พระผู้ซึ่งหนังสือของเขาถูกขโมยคือนักเรียนของผม
หมายเหตุ : จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่า Complex Sentence (ประโยคความซ้อน หรือสังกรประโยค)
เชื่อมด้วย sub - ordinate
conjunction (คำเชื่อมแฝง) ได้แก่ if, before, because, as if, since,
etc. และ relative
pronoun (สัมพันธ์สรรพนาม) ได้แก่ who, what, where, that, which, etc. เพื่อทำให้สองประโยคมีความหมายที่สมบูรณ์
4. Compound –
Complex Sentence แปลว่า ประโยคความผสม หรือ อเนกัตถสังกรประโยค
หมายถึง
ประโยคที่มีเนื้อความหลายเนื้อความมาอยู่รวมกัน
โดยไม่จัดเข้าเกณฑ์ตามแบบประโยคที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น หรืออาจกล่าวง่ายๆ
ว่า ไม่จัดเข้าพวก ทั้งสามประโยคที่กล่าวมาข้างต้น และมีกฎเกณฑ์สลับซับซ้อน
ตัวอย่างเช่น
-
Venerable
Kitti can not
remember whose book
it is, so he
asks his friend.
ท่านกิตติไม่สามารถจำว่าหนังสือนี้เป็นของใครได้
ดังนั้นเขาจึงถามเพื่อนของเขา
- Venerable
Manop does not
understand what teacher
explains, yet he writes
it down in
his note book.
ที่มา : http://blog.eduzones.com/yimyim/3354